"Chiba" เมืองที่ใกล้โตเกียวแค่เอิ้อม ซึ่งคนส่วนมากมักจะมองข้ามไป ไม่คิดที่จะท่องเที่ยวที่เมืองนี้สักเท่าไหร่ ไม่เข้าใจว่าทำไมเหมือนกันนะคะ เอ๊ะ...หรือว่ามันใกล้โตเกียวเกินไปน๊า? ฮ่าๆ ไม่รู้เหมือนกันเนอะ แต่ถ้าลองถามๆ คนรู้จักดูว่ารู้จักที่เที่ยวไหนบ้างที่ชิบะ ก็จะได้คำตอบว่า...เอิ่ม...สนามบินนาริตะมั้ง ห๊า...ไม่ใช่แระ เพราะว่าจริงๆ แล้ว ที่นี่มีที่เที่ยวมากมาย แต่ละที่ก็น่าสนใจแตกต่างกัน เรียกว่ามาเมืองเดียวเที่ยวได้ครบเลยค่ะ
เริ่มจากชื่อของเมืองนี้ก่อนนะคะ หลายคนเรียกว่า "จิบะ" แต่บางคนก็เรียกว่า "ชิบะ" เอาเป็นว่าภาษาไทยของเรานั้น เสียงมีวรรณยุกต์กำกับ เราไม่ว่ากันเนอะ ถ้าจะเขียนต่างกันไปบ้าง แค่รู้กันว่าเราหมายถึง "Chiba" เป็นพอ ในที่นี่แอดมินขออนุญาตเรียกชื่อเมืองนี้ว่า "ชิบะ" เพื่อให้ถูกต้อง ตรงกับเอกสารแนะนำการท่องเที่ยวของทางเมืองที่ทำขึ้นมาเป็นภาษาไทยสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยโดยเฉพาะเลยค่ะ
ที่นี่ใกล้โตเกียวและมีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบหรือมองข้ามไป อย่างเช่น ดิสนีย์แลนด์ โตเกียว ชื่อฟังเหมือนอยู่โตเกียวนะคะ แต่จริงๆ ก็อยู่จิบะค่ะ (เพื่อนๆ สามารถเช็คจำนวนคนที่ไปเที่ยวในแต่ละวันได้ที่นี่นะคะ จะได้ไม่ต้องไปเจอคนเยอะแยะมากมาย ต่อคิวทั้งวันไม่ได้เล่นสักที ^^!) ที่ชมซากุระก็มี แอดมินออยลี่ก็เคยแวะไปชมซากุระ ที่นี่ นะคะ คือแอดมินคิดว่าถ้าเราคิดจะหาที่เที่ยวใกล้ๆ โตเกียวแล้วล่ะก็ ที่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีนอกเหนือจาก โยโกฮาม่าที่คนรู้จักกันดีอยู่แล้วค่ะ
มีคำถามค่ะ เพื่อนๆ ทราบหรือไม่คะว่าที่ประเทศญี่ปุ่นนั้น แต่ละเมืองจะมีมาสคอตประจำเมือง ซึ่งเมืองชิบะขาก็มีเหมือนกันค่ะ มาสคอตของจังหวัดชิบะก็คือ "ชิบะคุง" แอดมินสารภาพเลยนะคะ ว่าแว่บแรกที่เห็น แอดมินก็ฟันธงว่าเจ้าตัวสีแดงๆ ที่เดินร่าเริงอยู่นี่ต้องเป็นสุนัขแน่นอน แต่ว่าพอรู้ความจริง อ้าว....ไม่ใช่สุนัข เพราะว่าเจ้าชิบะคุงเป็นชิบะค่ะ ไม่ได้เป็นสุนัขแต่อย่างใด แป่ว....(Y^Y)
งงมั้ยคะ ว่าคำว่า "ชิบะคุงไม่ได้เป็นสุนัขแต่เป็นชิบะ" นั้นหมายความว่าอย่างไรกันแน่?
มาค่ะ แอดมินมีเฉลยให้ ไม่ต้องงงนะคะ คำตอบก็คือ เพื่อนๆ ลองดูแผนที่จังหวัดชิบะด้านล่างสิคะ เห็นได้ชัดว่ากรอบของแผนที่นั้นก็คือรูปร่างของชิบะคุงนั่นเองค่ะ ไงคะ หายงงแล้วใช่มั้ยคะ ^^Check in #1 @Tokyo German Village ทุ่งพิงค์มอสที่บานก่อนใครในประเทศญี่ปุ่นว่าแล้วแอดมินก็ขอพามาเช็คอินสถานที่แรกกับทุ่งพิงค์มอสสวยๆ ที่บานก่อนใครในประเทศญี่ปุ่นที่ "Tokyo German Village" สวยงามมากๆ กับสีชมพูอ่อน ชมพูแก่ ม่วงและขาวของดอกชิบะซากุระ (Shibazakura) ที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Moss Phlox หรือที่เรารู้จักกันดีว่า "พิงค์มอส" รับรองว่าที่นี่จะต้องถูกใจคนรักการชมดอกไม้อย่างแน่นอน เพราะว่าเค้าปลูกเอาไว้ทั้งเนินเขา มองไปสุดลูกหูลูกตา แถมวิวไกลๆ ยังมองเห็นสระน้ำและชิงช้าสวรรค์ ถูกใจคนรักการถ่ายรูปอย่างแน่นอนอีกด้วยค่ะ ขอให้ได้มาในวันที่อากาศดี มีแสงแดดเพียงพอนะคะ ถ่ายรูปออกมาสดใสแน่นอน
การเดินทาง : ใช้รถไฟ JR มาลงที่สถานี JR Sodegaura แล้วใช้รถบัสสายที่ระบุว่า Chiba - Kamogawa Line
ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถหาได้ที่เว็บไซต์นะคะ > Tokyo German Village
Check in #2 @Sakura Furusato Tulip ทุ่งทิวลิปสีสันสดใสละลานตามาเที่ยวสวนดอกไม้กันต่อนะคะกับสวนทิวลิปสวยๆ ที่มีชื่อว่า "Sakura Furusato Tulip" ที่นี่มีทิวลิปหลากสีสันมากกว่า 710,000 ดอก พร้อมกังหันลมขนาดใหญ่ที่เป็นเอกลักษณ์ของสถานที่ สวนนี้ตั้งอยู่ที่เมืองซากุระ (Sakura) งานเทศกาลชมทิวลิปนี้มีชื่อว่า "Sakura Tulip Festival"เป็นเทศกาลที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมดอกทิวลิปหลากหลายสีสัน มากกว่า 100 สายพันธุ์ กังหันลมขนาดใหญ่ที่เห็นอยู่นั้นเราสามารถที่จะเดินเข้าไปชมด้านในได้ ซึ่งกังหันลมและสาวๆ ที่ใส่ชุดประจำชาติดัตช์นี้เองที่เป็นตัวเพิ่มบรรยากาศความเป็นชาวดัตช์เข้าไปให้สวนแห่งนี้ เทศกาลชมดอกทิวลิปจะเริ่มต้นช่วงต้นเดือนเมษายนของทุกปีค่ะ (สำหรับปีนี้งานมีไปแล้วเมื่อวันที่ 2 - 24 เมษายนค่ะ)
กิจกรรมสนุกๆ ที่นี่ก็มีหลายอย่างให้ทำนะคะ เช่นเช่าชุดประจำชาติดัตช์ใส่ถ่ายรูปเล่น ซื้อดอกทิวลิปไปปลูกเองที่บ้าน เลือกซื้อของฝากพื้นถิ่นจากชาวบ้าน ดูการแสดงการเป่าเม้าท์ออร์แกนหรือเช่าจักรยานขี่เล่น จะว่าไปแล้วที่นี่ก็ไม่ได้มีแต่ดอกทิวลิปเท่านั้นนะคะ ถ้าใครมาตอนช่วงต้นเดือนเมษายน เพื่อนๆ ก็จะได้ชมดอกซากุระสีชมพูอ่อนพร้อมๆ กับวิวด้านหลังที่เป็นทุ่งดอกนาโนะฮานะสีเหลืองเต็มท้องทุ่ง โดยมีฉากหลักเป็นทิวลิป แค่คิดก็ฟินแล้วค่ะ สำหรับคนรักการชมดอกไม้ค่ะ
การเดินทาง : ถ้าหากว่าเราเดินทางมาจากโตเกียว ก็นั่งรถไฟมาประมาณชั่วโมงกว่าๆ แล้วลงที่ Keisei Sakura Station จังหวัด Chiba เดินออกทาง North Exit จากนั้นใช้รถรับส่ง Shuttle Bus ซึ่งจะออกทุก 30 นาที นั่งไปแค่ 10 นาทีก็ถึงแล้วค่ะ สะดวกมากๆ ค่าบริการคนละประมาณ 200 เยนเท่านั้น
ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถหาได้ที่เว็บไซต์นะคะ > Sakura Tulip Festival
Check in #3 @Kamogawa Seaworld สวนน้ำแสนสนุกที่จังหวัดจิบะ (Chiba)ใครเบื่่อการช็อปปิ้งแล้ว อยากหากิจกรรมสนุกๆ ทำแบบไม่ไกลโตเกียว แนะนำที่นี่เลยค่ะ สวนน้ำที่มีสัตว์หลากหลาย การแสดงที่น่าประทับใจ พร้อมๆ กับโอกาสที่ได้ชมวิวริมทะเลเรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยค่ะ
สวนน้ำที่นี่ มีสัตว์น้ำมากมายทั้งภายในตัวอาคารและกลางแจ้ง และระหว่างวันมีการแสดงจากสัตวร์แสนรู้จำนวนหลายโชว์ให้เราได้ชมกัน แอดมินดูโชว์ทั้งวันได้ไม่มีเบื่อเพราะว่าสัตว์ต่างๆ ที่ทำการแสดงนั้นฉลาด แสนรู้และน่ารักมากๆ รับรองว่าถ้าหากเพื่อนๆ ได้ดูจนจบโชว์จะต้องประทับใจในความฉลาดของสัตว์ต่างๆ อย่างแน่นอน ยกตัวอย่างเช่นโชว์วาฬ โชว์โลมา และสิงโตทะเล เป็นสวนน้ำที่มีวิวที่สวยงามมาก เพราะระหว่างที่ดูโชว์ไป เราสามารถมองเห็นทะเลที่อยู่ด้านหน้าได้แบบ 360 องศา ลมพัดเย็นสบายมากๆ เหมาะแก่การมาท่องเที่ยวทั้งครอบครัว ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ต้องชื่นชอบอย่างแน่นอนการเดินทาง : จากสถานี JR Tokyo ใช้รถไฟสาย Wakashio Limited Express ลงที่สถานี JR Awa-Kamogawa จากนั้นนั่งรถ Shuttle bus ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายมาลงที่ Kamogawa Sea World ใช้เวลานั่งรถประมาณ 10 นาทีเท่านั้น
ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถหาได้ที่เว็บไซต์นะคะ > Kamogawa seaworld
Check in #4 @Naritasan Shinshoji Temple วัดศักดิ์สิทธิ์สำหรับขอพรเรื่องความรักวัดนาริตะซังเป็นวัดที่มีชื่อเสียงของจังหวัดชิบะ สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 มีเจดีย์สามชั้นและสวนที่มีชื่อเสียง อุโบสถของวัดเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 6:00-18:00 น. ของทุกวันเรื่องสนุกที่แอดมินค้นพบที่วัดแห่งนี้ก็คือ มี "Goshuin" (โกะชูอิน) วางขายอยู่ ลักษณะของโกะชูอินก็คือเหมือนสมุดโน๊ตเล่มเล็กๆ ข้างในเป็นกระดาษเปล่า เจ้าหน้าที่อธิบายให้ฟังว่าจุดประสงค์ของโกะชูอินก็คือเอาไว้ให้เราได้เก็บสะสมตราประทับของวัดต่างๆ ทั่วประเทศญี่ปุ่น เราไปเที่ยววัดไหนก็สแตมป์ตราเอาไว้ โดยมีความเชื่อมาตั้งแต่โบราณแล้วว่าตราประทับเหล่านั้นก็เหมือนกับเครื่องรางนำโชคที่จะทำให้เรามีสุขภาพดี โชคดี และปลอดภัยนั่นเองค่ะ ซึ่งสมุดแบบนี้มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะแล้ว ปรกติแล้วในหนึ่งครอบครัวก็จะมีโกะชูอินหนึ่งเล่ม หากมีใครที่ต้องเดินทางไปต่างจังหวัดหรือว่าไปวัดก็จะนำสมุดเล่มนี้ติดตัวไปด้วย ถ้าหากเจอวัดระหว่างทางก็จะประทับตราของวัดเอาไว้ เชื่อว่าเมื่อประทับตรายิ่งรวมกันได้จำนวนมาก ก็จะช่วยทำให้คนในบ้านหลังนั้นๆ โชคดี ปลอดภัยและแข็งแรงมากยิ่งๆ ขึ้นไป
แต่ความสนุกในวัดนาริตะซังยังไม่จบแค่นี้นะคะ ความสนุกอีกอย่างหนึ่งก็คือป้ายผูกดวงคู่ชีวิต 555+ ห๊าาาา...แอดมินก็ไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไร ในเมื่อจุดประสงค์คือขอเรื่องความรัก วิธีการก็คือซื้อแผ่นไม้ที่เอาไว้เขียนขอพรที่เรียกว่าเอมะ ราคาแผ่นละ 1,000 เยน แล้วก็เขียนชื่อตัวเองและชื่อคนที่เรารักลงไป ง่ายมากๆ ใช่มั้ยคะ จากนั้นเราก็เอาไปแขวนโดยต้องหันด้านที่เขียนชื่อเข้าไปด้านในไม่ให้ใครมองเห็น แล้วก็อธิษฐาน เชื่อว่าจะสมหวังกับคนรักค่ะ จริงไม่จริงก็ไม่รู้นะคะ ก็ต้องลองดูค่ะ ^^
การเดินทางมาวัดนาริตะซัง : นั่งรถไฟสาย Narita ลงที่ Narita Station เดินต่อมาประมาณ 10 นาที วัดอยู่ซ้ายมือค่ะ
ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถหาได้ที่เว็บไซต์นะคะ > Naritasan Shinshoji Temple
Check in #5 @Choufukujuji Temple อีกวัดสำหรับขอพรเรื่องความรักแบบเน้นๆวัดแห่งนี้มีอายุเก่าแก่มากกว่า 1,200 ปี เป็นวัดที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับการมาไหว้ขอพรให้ได้คนรักที่ดีหรือมาโยนหินเสี่ยงทายเรื่องความรักค่ะ อย่างแรกที่แปลกและสะดุดตาคือรูปปั้นช้าง 1 คู่ที่อยู่ตรงหน้าอุโบสถ มีป้ายเขียนติดเอาไว้ว่าให้อธิษฐานว่าคนรักที่เราหมายปองอยู่นั้น ใช่ตัวจริงหรือเปล่า แล้วก็โยนหินขึ้นไปเหนือหัวช้างตัวที่อยู่ทางด้านซ้ายซึ่งเป็นช้างตัวเมีย ถ้าหากว่าหินหล่นลงไปในมงกุฎพอดี ก็แปลว่าจะสมหวังค่ะ ซึ่งหินนั้นสามารถไปซื้อได้จากห้องขายเครื่องรางที่อยู่ทางด้านขวาของอุโบสถ เป็นหินน่ารักเสียด้วย เป็นรูปหัวใจ แทบจะไม่กล้าโยนขึ้นไปเพราะว่าเสียดายค่ะ ฮ่าๆ
พอได้เดินอ่านเอมะก็เห็นว่ามีแต่คนมาเขียนขอพรเรื่องความรักจริงๆ เอมะยังเป็นรูปหัวใจ แถมยังมีคนมาเขียนขอบคุณกล่าวว่า "หลังจากที่มาขอพระที่นี่ก็ได้คนรักที่ดี เป็นคนดี ดูแลเอาใจใส่ดีมากๆ ขอบคุณนะคะ" โอ๊ยยย...เห็นความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาทันที อีกหนึ่งวัดสำหรับคนมีความรักที่ห้ามพลาดมา Check in นะคะ ^^
การเดินทาง : นั่งรถไฟสาย JR Sotobo ลงที่สถานี "Mobara Station" แล้วขึ้นรถบัสสาย Kominato bus ลงที่ป้าย Atago-cho เดินต่ออีก 3 นาทีค่ะ
ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถหาได้ที่เว็บไซต์นะคะ > Choufukujuji
Check in #6 @Kasamori Kannon Temple วัดที่ดูเหมือนลอยอยู่ในอากาศวัดแห่งนี้มีชื่อว่าคะสะโมริแคนนอน เป็นวัดที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยนารา เป็นวัดที่สร้างด้วยไม้ ไม่มีตะปูใดๆ ตอกเลยในตัวอาคาร อาศัยเพียงการเข้าลิ่มซึ่งเป็นเทคนิคแบบเฉพาะของช่างไม้ชาวญี่ปุ่น เป็นอาคารไม้หลังเดียวในญี่ปุ่นที่สร้างด้วยไม้ เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมที่อยู่บนฐานไม้ไม้แบบนี้ จริงๆ แล้วมีอาคารไม้ที่มีชื่อเสียงของวัดน้ำใส คิโยมิซึเดระที่เกียวโต ที่สร้างบนฐานไม้แบบนี้เช่นเดียวกัน แต่ที่นั่นเป็นอาคารไม้ที่มีด้านเพียง 3 ด้านเท่านั้น (ด้านหนึ่งติดกับหน้าผา) วัดแห่งนี้มีชื่อเสียงมาตั้งแต่สมัยอดีตเพราะว่าจิตรกรที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่นได้วาดภาพวัดนี้ตามจินตนาการของตนว่าดูคล้ายวัดที่ลอยอยู่บนภูเขาทำให้ภาพนั้นกลายเป็นภาพที่ผู้คนสนใจ จนโด่งดังเป็นที่สนใจไปทั่วประเทศ เมื่อเดินขึ้นบันไดไม้มาเรื่อยๆ จนถึงตัวอาคารชั้นบน จะพบกับเจ้าแม่กวนอิมองค์เล็กที่เป็นสีทองอร่าม ด้านหน้ามีโคมไฟสีแดงอันใหญ่สีแดงอยู่ จากภาพจะเห็นว่ามีผ้าเช็ดหน้า ผ้าขนหนูผูกเอาไว้เต็มเลย แอดมินจึงได้สอบถามกับหลวงพี่ที่ดูแลวัด ได้ความว่าในอดีตการเดินทางเป็นไปได้ยาก กว่าจะขึ้นมากราบขอพรบนวัดนี้ได้ ผู้ที่เดินขึ้นมาก็เหมือนเป็นผู้แสวงบุญ เมื่อมาถึงก็จะนำสิ่งของที่ติดตัวมาและคิดว่าสะอาดบริสุทธิ์ที่สุด นั่นก็คือผ้าเช็ดหน้าสีขาว นำมาผูกกับเชือกที่ผูกยาวจากเสาด้านหน้าไปจนถึงพระหัตถ์ของรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม เปรียบเหมือนเป็นการถวายของสักการะและขอพรให้ปลอดภัยตลอดทั้งปี เมื่อครบปีทางวัดก็จะนำผ้าที่ผูกไว้ทั้งหมดไปเผา แล้วก็จะนำเชือกมาร้อยเอาไว้ใหม่ รอผู้แสวงบุญมาผูกผ้าขอพรต่อไป
ด้านหลังขององค์เจ้าแม่กวนอิมที่เห็นเป็นประตูแกะสลักสีทองนั้น ด้านในก็คือเจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่บนยอดเขา แล้วมีอาคารไม้หลังนี้ครอบเอาไว้ พระบาทของรูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมนั้นยืนอยู่บนยอดเขาพอดี และหน้าต่างนี้จะถูกเปิดออกทุก 6 ปี เพื่อทำการกราบไหว้เคารพบูชาแล้วก็จะถูกปิดตาย เปิดอีกครั้งใน 6 ปีถัดไป ซึ่งเป็นการนับปีตามปีนักษัตร
การเดินทาง : นั่งรถไฟสาย Sotobou line ลงที่สถานี Mobara Station แล้วนั่งรถบัสต่อมา โดยใช้รถบัสสาย Kasuza-Ushiku ลงรถที่สถานี Kasamori แล้วเดินต่ออีก 5 นาที
Check in #7 @Dragon Farm - Blueberry & Strawberry picking เก็บสตอเบอรี่สดๆ จากต้น รับประทานได้มากเท่าที่ต้องการเก็บสตอเบอรี่ไม่ต้องไปไกล แค่ใกล้ๆ โตเกียวแค่นี้เอง ที่ Dragon Farm - Blueberry & Strawberry picking จังหวัด Chiba !!ฟาร์มนี้เพื่อนๆ หลายคนคงเคยได้ยินชื่อกันแล้วเพราะว่าค่อนข้างดังในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยนะคะ ที่นี่มีทั้งสตอเบอรี่และบลูเบอรี่ให้เก็บกันนะคะ ช่วงต้นปีจนถึงเดือนเมษายนหรือพฤษภาคมนั้นเป็นช่วงเวลาของสตอเบอรี่ค่ะ ถ้าอากาศไม่แปรปรวนก็จะมีสตอเบอรี่ให้เก็บกันถึงเดือนพฤษภาคม ราคาต่อท่านคือ 3,000 เยน ถ้าหากเป็นเด็กก็จะมีราคาที่ลดหลั่นกันไป ดูได้ที่รูปเลยนะคะ เพื่อนๆ สามารถเก็บสตอเบอรี่สดๆ จากต้นและกินได้มากเท่าที่ต้องการภายในระยะเวลา 30 นาทีค่ะ
คนญี่ปุ่นเวลารับประทานสตอเบอรี่จะนิยมจิ้มกันนมข้นหวาน ซึ่งที่ฟาร์มแห่งนี้มีให้เลือกทั้งนมข้นหวานและช็อกโกแลตค่ะ เลือกได้ตามใจชอบเลย ถ้าไม่พอมาขอเติมได้นะคะ
เรื่องเด็ดอีกเรื่องคือมันเผาอร่อยมากๆ อยากจะกราบเบญจางคะประดิษฐ์ 4 ทิศเลยค่ะคุณขา มาที่นี่ห้ามพลาดชิมมันเผานะคะ มันหวานเหมือนมันเชื่อมเลยอ่ะ เค้าอบที่อุณหภูมิ 80 องศาเป็นเวลา 2 ชั่วโมง นี่อาจจะเป็นเคล็ดลับที่ทำให้มันหวานขนาดนี้ก็เป็นได้
ครบ 7 ที่แล้ว หวังว่าเพื่อนๆ จะได้ไอเดียในการเที่ยวชิบะ เมืองเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานและความมีชีวิตชีวา ใครไปเที่ยวแล้วอย่าลืมนำภาพมาฝากกันบ้างนะคะ ขอให้ทุกคนท่องเที่ยวอย่างสนุก เดินทางปลอดภัยกันทุกคนนะคะ
เรื่องและภาพโดย JapanList ลิสต์ทุกเรื่องที่คุณอยากรู้ในญี่ปุ่น
![]() |
ไขหมดเปลือก เผือกหมดแผง กับเทคนิคเลือกวันเข้าดิสนีย์แลนด์และดิสนีย์ซี และวิธีการซื้อตั๋ว
Chiba | view 91,127 |
![]() |
คอร์สกระทัดรัดเที่ยวจบใน 3 ชั่วโมง : นาริตะ เมืองแสนอบอุ่นที่ไม่ได้มีแค่สนามบิน
Chiba | view 85,470 |
![]() |
รถบัสไปสนามบิน Narita Airport แค่ 1,000เยน
Chiba | view 70,253 |
![]() |
เที่ยวไปใกล้โตเกียว”จังหวัดชิบะ”♪
Chiba | view 67,553 |
![]() |
รีวิวขนมในดิสนีย์ซี อยากรู้ว่าอะไรอร่อย อะไรควรข้าม ห้ามพลาด!
Chiba | view 32,188 |