บทความก่อนหน้า แอดมินได้พาเพื่อนๆ ไปเที่ยวรอบโตเกียวใน 1 วันกันมาแล้ว บทความนี้ขอพาออกไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปมองฟ้ากว้าง มองภูเขา สูดหายใจลึกๆ ให้เต็มปอดกับต้นไม้ใบหญ้าและลำธารใสๆ ทริปนี้เราเน้นเที่ยวไปตามใจฉัน ลัดเลาะไปเรื่อย เน้นกินอร่อย นอนสบาย แถมด้วยการแช่ออนเซนส่วนตัวท่ามกลางวิวป่าเขา อยากทราบแล้วใช่มั้ยคะ ว่าแอดมินจะพาไปจังหวัดอะไร คำตอบก็คือ "จังหวัดอิวะเตะ" ค่ะ
จะว่าไปจังหวัดอิวะเตะเหมือนจะไกลจากโตเกียว แต่ไม่ไกลเลย เมื่อเรามี JR EAST PASS ค่ะ ถามว่าทำไมต้องไปเที่ยวไกลขนาดนี้ ก็เพราะว่าที่จังวหัดนี้มีสิ่งที่จังหวัดอื่นไม่มี เมืองใหญ่อย่างโตเกียวก็ไม่ได้มีทิวทัศน์ธรรมชาติให้เราสูดอากาศได้เต็มปอด ไม่มีออนเซน ไม่มีภูเขา ไหนๆ ก็จัดทริปกันทั้งที ก็ขอผ่อนคลายให้มันเต็มที่ไปเลย ว่าแล้วอย่ารอช้า ตามแอดมินมาเที่ยวไปพร้อมๆ กันได้เลยค่ะ
JR PASS นับว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นอย่างคุ้มค่า เพราะว่าผู้ถือพาสนี้สามารถใช้บริการได้ทั้งรถไฟ JR ธรรมดาและรถไฟชินกังเซน
สำหรับพาส "JR EAST PASS (Tohoku area)" นั้น ผู้ถือพาสนี้สามารถใช้ได้ทั้งรถไฟเจอาร์ (JR Train), รถไฟชินกังเซน (Bullet train) , รถไฟด่วนจากสนามบินนาริตะเข้าเมืองโตเกียวที่เรียกว่านาริตะ เอ็กซ์เพรส (Narita Express) และรถไฟโตเกียว โมโนเรล (Tokyo Monorail) ที่ให้บริการจากสนามบินฮะเนะดะเพื่อเข้าเมือง
นักท่องเที่ยวสามารถใช้พาสนี้เดินทางไปยังหลายสถานที่ ไม่ว่าจะเป็น อะโอโมริ (Aomori), นิกโก้ (Nikko), เซนได (Sendai), อะกิตะ (Akita) โดยไม่จำกัดเที่ยว
หากใครสนใจซื้อพาสนี้ สามารถทำได้สองวิธีคือ
1.หากต้องการซื้อที่ประเทศไทย สามารถสั่งซื้อออนไลน์หรือซื้อได้ที่ตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย
2.หากต้องการซื้อที่ประเทศญี่ปุ่น สามารถซื้อได้ที่สนามบินนาริตะและสนามบินฮะเนะดะ หรือตามจุดจำหน่ายอื่นๆ ในโตเกียวอย่างเช่นออฟฟิศของ JR EAST Travel Service Center ในภาพด้านล่าง ตั้งอยู่ที่สถานีชินจูกุ นักท่องเที่ยวสามารถมาซื้อพาสที่นี่ สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยว การเดินทาง โรงแรม หรือแลกเปลี่ยนเงินที่นี่ก็ได้นะคะ สะดวกมากๆ เลยค่ะ
เจอาร์อีสท์ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ลิงค์นี้ค่ะ > https://www.jreast.co.jp/e/eastpass_t/
ส่วนเรื่องการใช้งานพาสก็สะดวกมากๆ ในกรณีที่ซื้อมาจากประเทศไทย เมื่อเรามาถึงสนามบิน ก็ต้องไปแลกบัตร JR Pass ตามภาพด้านบนมาก่อนนะคะ การขึ้นรถไฟของเราหลังจากนี้จะเปลี่ยนไป หากเป็นรถไฟ JR ทั่วไปที่อยู่ในเงื่อนไขของ JR EAST PASSและรถไฟชินกังเซนแบบไม่จองที่นั่ง เราไม่ต้องซื้อตั๋วแล้วค่ะ แค่โชว์ JR EAST PASS ก็เข้าสถานีได้เลย เฉพาะครั้งแรกที่ใช้บัตรเจ้าหน้าที่จะขอดูพาสปอร์ตด้วย แล้วจะประทับวันที่เริ่มใช้ที่ด้านหลังของพาส จากนั้น ในครั้งต่อๆ ไปไม่ได้ขอดูพาสปอร์ตค่ะ
แต่ในกรณีที่เราต้องการใช้ชินกังเซนแบบจองที่นั่ง เราก็สามารถจองวันและเวลาที่เราต้องการโดยสารได้ที่ห้องขายตั๋วของสถานีหรือจะจองออนไลน์ก็ได้นะคะ ที่ลิงค์นี้เลยค่ะ
คนญี่ปุ่นเรียกข้าวกล่องที่ขายตามสถานีรถไฟว่า “เอกิเบน” คำว่าเอกิแปลว่าสถานี ส่วนคำว่าเบน ก็ย่อมาสั้นๆ จากคำว่าเบนโต นั่นเองค่ะ
คนมักจะซื้อเอกิเบนไปกินบนรถไฟที่ต้องเดินทางนานๆ เช่นบนรถไฟชินกังเซน เสน่ห์ของเอกิเบนอยู่ตรงที่แต่ละสถานีก็จะมีเอกิเบนของตนเอง บางแห่งมีชื่อเสียงมาก จนคนต้องนั่งรถไฟตามไปชิม ส่วน ความน่าสนใจของร้านเอกิเบนที่สถานีโตเกียวก็คือ ที่นี่รวบรวมข้าวกล่องที่มีชื่อเสียงเอาไว้มากมาย แถมยังมีข้าวกล่องที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาลอีกด้วย เรียกได้ว่า ตอนเดินเข้ามาในร้าน เลือกเอกิเบนกันไม่ถูกเลยทีเดียวเพราะว่าอันไหนๆ ก็ดูน่ากินไปเสียหมด
ร้านเอกิเบนที่สถานีโตเกียว อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์นี้ค่ะ > http://www.ekiben.or.jp/main/tokyo.php
การเดินทางด้วยรถไฟชินกังเซนก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะท่านที่มี JR Pass ก็นับว่าสะดวกสบายและคุ้มค่ามากๆ เลยค่ะ เพราะว่านอกจากประหยัดเวลาแล้ว ยังประหยัดเงินมากกว่าการซื้อตั๋วรถไฟเป็นครั้งๆ ไป ด้วยนะคะ ที่นั่งก็สบาย กว้างขวาง มีพื้นที่สำหรับเก็บกระเป๋าเดินทาง สำหรับรถไฟที่เดินทางข้ามจังหวัดอย่างชินกังเซน เราสามารถซื้ออาหารแล้วนำขึ้นมากินในรถไฟได้แต่ถ้าหากไม่ได้ซื้อมา บนรถไฟก็มีเจ้าหน้าที่เข็นรถมาขายอาหารและเครื่องดื่มนะคะ ไม่ต้องกังวลว่าจะหิวเลยค่ะ
การเดินทางด้วยชินกังเซน อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์นี้ค่ะ > http://www.jreast.co.jp/index.html/
แก่งเกบิเกเป็นหนึ่งในร้อยสถานที่ท่องเที่ยวที่แนะนำของประเทศญี่ปุ่น หน้าผาในบริเวณนั้นมีความแปลกตาแม่น้ำมีความลึกเพียง 1 เมตร แต่ว่าน้ำในแก่งนั้นใสมากๆ จนมองเห็นตัวปลาที่แหวกว่ายอยู่ได้ แต่ละจุดที่เรือผ่านนั้น มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ ซึ่งพนักงานที่พายเรือจะเป็นผู้อธิบายให้เราฟัง นอกจากนี้พนักงานพายเรือยังสามารถร้องเพลงพื้นบ้านให้นักท่องเที่ยวฟังได้อีกด้วย
นักท่องเที่ยวสามารถมาล่องเรือชมความงามของแก่งเกบิเกได้ทุกฤดูกาล สามารถเลือกที่จะนั่งเรือชมธรรมชาติเพียงอย่างเดียว (ค่าบริการคนละ 1,600 เยน) หรือถ้าหากต้องการรับประทานอาหารไปด้วยระหว่างที่ล่องเรือก็สามารถทำได้เช่นกัน (ค่าบริการคนละ 3,300 เยน) ใช้เวลาในการล่องเรือทั้งหมดประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ที่นี่เปิดให้บริการทุกวัน ไม่มีวันหยุด ตั้งแต่เวลาประมาณ 8:00-16:00 น. เรือออกทุก 1 ชม. แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเวลาให้บริการอาจแตกต่างไปเล็กน้อยขึ้นกับช่วงฤดูกาลและสภาพอากาศค่ะ
แก่งเกบิเก อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์นี้ค่ะ > http://www.geibikei.co.jp/gourmet/gourmet-menu/#gourmetmenu03
อีกหนึ่งกิจกรรมสนุกๆ ใกล้ๆ แก่งเกบิเกก็คือนักท่องเที่ยวมีโอกาสได้ทดลองทำกระดาษสา ตัวกระดาษใช้เยื่อจากต้นโคโซมาทำ ตกแต่งลวดลายบนกระดาษให้สวยงามด้วยดอกไม้ใบไม้ที่เก็บมาสดๆ ค่ะ
ต้นโคโซคือต้นไม้ด้านขวามือค่ะ
อุปกรณ์มีเตรียมเอาไว้ให้ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นเยื่อต้นโคโซสีขาวสำหรับทำพื้นกระดาษที่อยู่ในถังขนาดใหญ่และเยื่อต้นโคโซผสมสีเอาไว้หลากสีในถังเล็กๆ เพื่อนำมาตกแต่งกระดาษให้มีความสวยงามตามความต้องการของลูกค้าแต่ละท่าน
เมื่อตกแต่งกระดาษจนเป็นที่พอใจแล้ว ต้องปล่อยให้แห้ง ซึ่งทางร้านแจ้งว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 อาทิตย์ หลังจากนั้นทางร้านจะส่งกระดาษที่เราทำไว้ไปยังที่อยู่ที่เราแจ้งทางร้านไว้ หากเป็นที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่นเสียค่าส่ง เพียง100 เยนแต่ถ้าหากว่าเป็นที่อยู่ที่ต่างประเทศอย่างประเทศไทยก็สามารถส่งได้นะคะ แต่ว่าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการส่งตามจริงค่ะ
ค่าบริการทำกระดาษสา 1,000 เยนต่อคนค่ะ แต่ว่าถ้าทำสองคน คิดราคาเพียง 1,500 เยนต่อสองท่านนะคะ
การทำกระดาษสา อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์นี้ค่ะ > http://www.echna.ne.jp/~nobuhiko/kamisuki/index.html
วัดจูซนจิเป็นวัดที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ตั้งแต่เราเดินขึ้นเขาไปโดยมีจุดหมายคือวิหารสีทองของวัดจูซนจิ ตามสองข้างทางจะได้พบเห็นวัดและศาลเจ้ามากมาย ซึ่งแต่ละแห่งก็เชื่อว่ามีเทพแต่ละองค์สถิตอยู่ต่างกันออกไป เช่นเทพแห่งดวงตา เทพที่มีหน้าที่รักษาดวงวิญญาณของเด็ก ส่วนตัวผู้เขียนไม่เคยพบวัดที่มีศาลเจ้ารวมกันอยู่ในที่เดียวเป็นจำนวนมากเท่านี้มาก่อน
ไฮไลท์ของวัดแห่งนี้คือส่วนของวิหารสีทอง อุโบสถ หอเก็บสมบัติและพระสูตรแห่งวัดจูซนจิ
-วิหารสีทอง สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1124 เป็นอาคารเดียวที่ยังเหลือเค้าโครงเดิมอยู่ ภายในมีรูปพระโพธิสัตว์ 6 พระองค์และที่แท่นประดิษฐานพระประธานเป็นที่เก็บอัฐิของท่านฟุจิวาระ คิโยฮะระผู้เป็นต้นตระกูล
-อุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระศากยมุนีพระพุทธเจ้าเอาไว้ ภายในมีธรรมประทีปที่ไม่เคยดับ ส่องแสงมานานกว่า 1,200 ปี
-หอเก็บสมบัติมีมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญๆ เก็บอยู่มากกว่า 3,000 ชิ้น เช่นพระพุทธรูป เครื่องสักการะ พระสูตรและภาพเขียน
วัดจูซนจิ อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์นี้ค่ะ > http://www.chusonji.or.jp/th/ (เว็บไซต์เป็นภาษาไทยค่ะ)
ระหว่างที่กำลังเดินทางไปโรงแรมนั้นเราก็ได้แวะชมภาพที่จะปรากฏขึ้นในเวลากลางคืนเท่านั้น มีความสวยงามแปลกตาอย่างมาก ซึ่งภาพนี้วาดขึ้นเพื่อระลึกถึงคุณมิยะซะวะ เคนจิผู้เป็นกวีที่เคยอาศัยอยู่ในเมืองนี้
เมื่อเดินทางมาถึงโรงแรมยูเซน ชิดะเทะ (Yusen Shidate) พอก้าวเท้าเข้ามาก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชุดน้ำชาและขนมนี้ค่ะ
ที่นี่มีห้องพักทั้งแบบบิสสิเนทโฮเทลและแบบเรียวกัง ให้บริการ ซึ่งในครั้งนี้เราพักในห้องแบบเรียวกัง (เรียวกังแปลว่าโรงแรมแบบญี่ปุ่น ค่ะ) ห้องแบบนี้มีทั้งหมด 16 ห้อง พอเข้ามาในห้อง ก็รู้สึกว่าห้องพักมีความสวยงาม กว้างขวาง มีพื้นที่ใช้สอยเยอะมาก
ในส่วนของห้องนั่งเล่น พื้นปูด้วยเสื่อตะตะทิให้อารมณ์แบบญี่ปุ่น พื้นในห้องยกต่างระดับกันทำให้รู้สึกถึงความเป็นสัดส่วน
ความพิเศษคือแต่ละห้องมีออนเซนส่วนตัว ทำให้เราไม่ต้องเคอะเขินกับการใช้ออนเซนร่วมกับผู้อื่น จากบ่อออนเซนในห้องที่อยู่กลางแจ้ง เราสามารถมองเห็นป่าสนฝั่งตรงข้ามและเนื่องจากโรงแรมเงียบสงบ ทำให้เราได้ยินเสียงน้ำในลำธารไหลตลอดเวลา การใช้เวลาพักผ่อนที่นี่ทำให้รู้สึกว่าได้พักผ่อนจริงๆ ทั้งร่างกายและจิตใจ ออนเซนที่อยู่กลางแจ้งแบบนี้ในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า “โระเทนบุโระ” (Rotenburo) ด้านนอก นอกจากจะมีโระเทนบุโระแล้ว ยังมีระเบียงพร้อมเก้าอี้ให้นั่งจิบชาไป ชมธรรมชาติไปอีกด้วยค่ะ
</p
วิวที่มองเห็นจากระเบียงห้องพัก สวยงาม บรรยากาศรอบๆ เงียบสงบ เหมาะกับการพักผ่อนเป็นอย่างมากค่ะ
สำหรับอาหารที่นี่ก็อร่อยมากๆ ทั้งอาหารชุดไคเซกิในตอนค่ำและอาหารเช้าแบบญี่ปุ่นค่ะ
ห้องอาหารมีความเป็นส่วนตัว และยังมองเห็นวิวที่สวยงามด้านนอกอีกด้วย สำหรับภาพด้านล่างนี้คือภาพชุดอาหารเช้าค่ะ
โรงแรมอยู่ท่ามกลางธรรมชาติทำให้ทุกมุมของโรงแรมเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามได้ นอกจากนี้พนักงานยังให้บริการแขกทุกท่านเป็นอย่างดีอีกด้วย รู้สึกอุ่นใจและสะดวกสบายอย่างมากค่ะ
โรงแรมยูเซน ชิดะเทะ อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์นี้ค่ะ > http://www.shidate.info/
เครื่องดีดชนิดนี้มีสามสาย ไม่น่าเชื่อว่าเครื่องดนตรีที่มีเพียงสามสายและมีผู้เล่นเพียงคนเดียวจะสามารถสร้างบทเพลงที่ไพเราะอย่างมากได้ ยิ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ชมการแสดงนี้แต่ก็เลยยิ่งรู้สึกประทับใจ รู้สึกขอบคุณทางโรงแรมที่นำการแสดงศิลปะวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาให้ผู้ที่เข้าพักได้ชม
จากสถานีโมริโอกะ (Morioka Station) ขึ้นรถบัสที่ชานชลาที่ 10 ที่อยู่บริเวณหน้าสถานี ดูป้ายเช็คเวลารอบรถได้ นั่งรถมาเป็นเวลาประมาณ 30 นาที ค่าโดยสารคนละ 700 เยน รถไม่จอดแวะที่ไหนเลย ขับตรงมาที่ฟาร์มเลย เมื่อถึงที่แล้วรถจะจอดที่ด้านหน้าฟาร์มเลยค่ะ
ฟาร์มแห่งนี้มีผลิตภัณฑ์นม เนย ชีสที่อร่อยขึ้นชื่อ เป็นสถานที่ๆ เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัวเพราะว่ามีหลากหลายกิจกรรมให้ทุกคนทำได้อย่างสนุกสนานตลอดวัน
สถานที่ของฟาร์มมีความกว้างขวาง หากต้องการนั่งรถชมฟาร์มก่อน ก็สามารถทำได้ รถมีวิ่งให้บริการเป็นรอบๆ สามารถติดต่อกับเจ้าหน้าที่ได้
สนามเด็กเล่น นอกจากจะเป็นที่โปรดปรานของเด็กเล็กแล้วเด็กโตก็ชื่นชอบด้วยเช่นกัน ในวันที่ผู้เขียนไป เป็นวันที่มีเด็กๆ มาทัศนศึกษากัน ทำให้ฟาร์มดูสนุกสนานเพราะว่าเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของเด็กๆ บางคนก็แยกไปทดลองขี่ม้าหรือเล่นเกมส์สนุกๆ อื่นๆ
มีการแสดงของแกะและสุนัขแสนรู้ เป็นที่ชื่นชอบของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เมื่อแกะตัวอ้วนกลม ถูกต้อนด้วยสุนัข เพียงแค่ใช้ตาในการออกคำสั่ง ไม่ต้องเห่าเลย แต่ว่าแกะก็วิ่งเข้ามาในคอกได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีแกะแสนรู้ที่วิ่งแข่งกันออกมากินอาหารที่อยู่ในราง น่ารักและสนุกสนานมากๆ เลยค่ะ
ใกล้กันนั้น มีทุ่งดอกคอสมอสอยู่ ณ วันที่ไปยังบานแค่ 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ก็สวยงามมาก ด้านหลังมีภูเขาไฟอิวะเตะซังเป็นฉากหลัง ดูสวยงามแล้วก็ยิ่งใหญ่มากเลยค่ะ
ภายในฟาร์มมีห้องอาหารที่จุผู้คนได้จำนวนมากให้บริการ ในเซ็ทอาหารกลางวันมีนมสดมาให้ด้วย 1 แก้ว อร่อยมากๆ เลยค่ะ
โคอิวะอิ ฟาร์ม อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์นี้ค่ะ > https://www.koiwai.co.jp/makiba/en/
ในเมืองโมริโอกะก็มีที่ให้เดินเล่นหลายที่เหมือนกันนะคะ มีทั้งวัดและศาลเจ้าที่มีประวัติที่น่าสนใจ
อย่างที่ๆ เรากำลังจะไป “Demons hand prints in the rocks” เป็นหินที่เชื่อว่ามีมือของยักษ์ประทับอยู่ เรื่องเล่ากันว่ายักษ์ทำความผิดและเพื่อเป็นการสัญญาว่าจะไม่ทำผิดอีก จึงประทับรอยมือเอาไว้บนหินที่นี่ค่ะ
แล้วก็ยังมีวัดที่มีประวัติที่น่าสนใจมากๆ พร้อมวัตถุมีค่าทางวัฒนธรรมที่ควรจะไปได้เห็นกับตาสักครั้ง วัดนี้มีชื่อว่าวัดฮูนจิ (Hoonji temple) ภายในวัดมีรูปสลักพระอรหันต์ที่ทำมาจากไม้สน แล้วปิดด้วยทองจำนวน 500 องค์เรียงรายกันอยู่ ในอุโบสถ
นอกจากนี้ ติดกับสถานีโมริโอกะ ก็มีห้างซึ่งเป็นแหล่งช็อปปิ้งที่เดินสนุก มีทั้งร้านขายสินค้าและร้านอาหารหลากหลายให้เลือกชิมกันได้ตามชอบ
ที่สำคัญอย่าลืมชิมเอกิเบน ของขึ้นชื่อของที่นี่นะคะ
สรุปแล้วการได้มาเที่ยวในครั้งนี้ ได้รับความประทับใจเป็นอย่างมากเพราะว่าได้ไปหลายๆ ที่ บางสถานที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอยู่ในโตเกียวอย่างเช่นตรอกโอโมอิเดะ ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ได้รู้ว่าสวนสาธารณะในโตเกียวมีความใหญ่โตและสวยงามแค่ไหน ซึ่งไม่ได้มีแค่ต้นไม้แต่ยังไม่สิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ ซ่อนอยู่ นอกจากนี้ยังได้ไปต่างจังหวัดที่มีธรรมชาติที่สวยงามอย่างจังหวัดอิวะเตะ สถานที่ๆ สวยงามตามธรรมชาติแต่เสียดายที่นักท่องเที่ยวชาวไทยยังไม่ค่อยรู้จักนัก ทริปนี้ทำให้รู้สึกว่าอยากจะแบ่งปันข้อมูลการท่องเที่ยวที่ได้สัมผัสมา ส่งต่อให้กับคนที่อยากจะมาสัมผัสทั้งความเป็นเมืองและความเป็นธรรมชาติของญี่ปุ่นค่ะ
รูปและข้อมูลโดย : แอดมินดาว