ถ้าคุณชื่นชอบเจ้าหญิง Mononoke เศร้าโศรกไปกับสุสานหิ่งห้อย ตื่นตาตื่นใจไปกับ Totoro หรือหลงไหลไปกับเพลง theme "Always With me" จาก Spirited Away พิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์แอนิเมชั่นของ Ghibli เป็นที่ๆรวบรวมมนต์ขลัง บรรยากาศและกลิ่นอายของภาพยนตร์แอนิเมชั่นทุกๆเรื่องของค่ายนี้เอาไว้ในที่เดียว
Studio Ghibli มีจุดเริ่มต้นจากอาจารย์ Hayao Miyazaki, Isao Takahata และคุณ Toshio Suzuki ผู้อำนวยการสร้าง ทั้งสามที่คร่ำหวอดในอุตสาหกรรมภาพยนตร์แอนิเมชั่นของญี่ปุ่นเป็นเวลานานร่วมมือกันผลักดันให้เกิดแอนิเมชั่นสตูดิโอแห่งนี้ขึ้นมาสำเร็จในปีค.ศ. 1985 และหลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ได้สร้างสรรค์ผลงานภาพยนตร์การ์ตูนกว่า 20 เรื่องที่มีเนื้อหาสนุกลึกซึ้งและประสบความสำเร็จไปทั่วโลก ความสำเร็จเหล่านี้เป็นสิ่งที่ช่วยกันต่อยอดให้มีการสร้าง Ghibli Museum ขึ้นในเวลาต่อมา
เริ่มแรก Ghibli Museum มีแผนจะสร้างกันตั้งแต่ปีค.ศ. 1998 กว่าจะเริ่มสร้างจริงๆก็ล่วงเลยมาสองปีและพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็เปิดให้เข้าชมในวันที่ 1 ตุลาคมค.ศ. 2001 เป็นปฐมฤกษ์ อาจารย์ Hayao Miyazaki ได้เป็นผู้ลงมือออกแบบพิพิธภัณฑ์ด้วยตัวเองโดยใช้ฉากต่างๆที่มีในภาพยนตร์เป็นพื้นฐานผสมผสานกับสถาปัตยกรรมยุโรปที่น่ารักๆอย่างหมู่บ้าน Calcata ในประเทศอิตาลี
สำหรับเราแล้วการเดินทางมา Ghibli Museum นับว่าพร้อมที่สุดตั้งวางแผนการเดินทางมาเพราะเราจอง e-ticket มาได้ล่วงหน้าก่อนจะเดินทางญี่ปุ่น ที่เหลือก็เฝ้ารอวันเวลาให้ผ่านไปเร็วๆ จับรถไฟไป Mitaka นั่งรถประจำทางอีกราวสิบนาทีเดินลงจากรถและรอเวลาให้ถึงรอบเข้าชมเท่านั้น
ระหว่างรอเข้าชม มีโกาสเดินสำรวจไปทั่วๆสิ่งที่เราเจอก่อนเป็นอันดับแรกนั่นคือ Totoro ที่เหมือนจะยืนต้อนรับเราอยู่ในป้อม ถัดไปจากบริเวณนี้มีต้นไม้ขึ้นร่มครึ้ม บางส่วนเป็นไม้เลื้อยซึ่งเลื้อยขึ้นไปบนตัวอาคาร นำสายตายเราให้ไปเจอกับบานหน้าต่างน่ารักๆหลากสีแต่ดูกลมกลืนสวยงาม ก่อนที่เราจะเดินตามทางเดินที่ปูด้วยหินโทนสีเหลืองส้มสดใส เมื่อถึงเวลาเข้าชม เราก็เดินไปต่อแถวเพื่อเข้าไปในพิพิธภัณฑ์
มองจากบนเนินไปยังพิพิธภัณฑ์ระหว่างอยู่ในแถว มีทางลาดลงไปสู่พิพิธภัณฑ์สีลูกกวาดที่ปกคลุมไปด้วยไม้เลื้อยเขียวชอุ่มที่บางส่วนยังคงเจาะช่องเอาไว้เป็นหน้าต่างรูปร่างแปลกเพื่อให้มีแสงแดดเข้าไปในตัวอาคารบ้างและเพื่อให้ภายในไม่ได้ดูทึบจนเกินไป แถวของเราค่อยๆขยับไปจนถึงหน้าประตูทางเข้า เรายื่น e-ticket พร้อมกับ passport ให้กับเจ้าหน้าที่และได้บัตรเข้าชมพร้อมกับชิ้นส่วนฟิล์มจากภาพยนตร์แอนิเมชั่นของ Ghibli มา 1 เฟรม แค่นี้ก็ฟินแล้ว
ต่อจากนี้เรามีความเสียใจที่จะแจ้งให้ทราบว่าหลังจากเข้ามาด้านในพิพิธภัณฑ์แล้ว ที่นี่ห้ามถ่ายภาพโดยเด็ดขาด คิดว่าน่าจะครอบคลุมไปถึงกล้องมือถือด้วย เพราะถ้ามีภาพจากด้านในหลุดรอดไป ความลับจากสวรรค์ที่โดนแพร่งพรายอาจทำให้การเข้าชมภายในนั้นเป็นเรื่องที่ไม่น่าตื่นเต้นอีกต่อไป แต่เราขอบอกเลยว่าจากการที่ได้เห็นอะไรๆด้านในมาเกือบหมดแล้ว ให้เรากลับเข้าไปชมอีกทีก็ยังตื่นเต้นอยู่ดีนะ เพราะส่วนที่จัดแสดงทำได้น่าทึ่งเหลือเกินไม่ว่าจะเป็นการปูพื้นฐานด้านแอนิเมชั่นโดยผ่านเครื่องฉายภายนตร์ หลักการเคลื่อนไหวของภาพต่อเนื่องและเทคนิคการถ่ายทำบนแท่นถ่ายทำแอนิเมชั่นโดยถ่ายทอดผ่านตัวละครของ Ghibli งานออกแบบตัวละคร หรือแม้แต่ storyboard อธิบายแค่นี้คงเห็นภาพได้ไม่ชัด คงต้องให้ได้มีโอกาสเข้าไปชมกันเองจริงๆ
นอกจากวิธีการทำงานแอนิเมชั่นของที่นี่แล้ว สถาปัตยกรรมภายในเรียกได้ว่าน่าทึ่งอย่างที่สุดเพราะเป็นสถาปัตยกรรมที่เหมือนเนรมิตรจากแผ่นฟิล์มกระเด้งออกมาเป็นสิ่งก่อสร้างจริงๆไม่ว่าจะเป็นซุ้ม ประตูหน้าต่าง บันใดที่เวียนขึ้นจากโถงไปยังแต่ละชั้นหรือแม้แต่สะพานลอยฟ้าที่สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมระเบียงทางเดินจากฟากนึ่งไปยังอีกฟากหนึ่งซึ่งน่าจะมีความยาว 10 -15 เมตรได้กระมัง แค่ลอยเท้งเต้งอยู่บนนั้นด้วยความสูงขนาดตึกสามชั้นนี่ก็มีเสียวอยู่เหมือนกัน เข้ามาอยู่ในนี้เหมือนในฝัน มันเหมือนมีเวทย์มนต์ที่สะกดให้เรากลับไปเป็นเด็กๆ ไม่อยากออกไปเจอโลกวุ่นวายภายนอกจริงๆ
พิพิธภัณฑ์มีราว 3 -4 ชั้นและชั้นดาดฟ้าก็เป็นไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้ ลานกว้างบนนี้เป็นที่ตั้งของ Laputan Robot คาแร็คเตอร์ตัวใหญ่ยักษ์จากเรื่อง Laputa: Castle in the Sky ที่บอกเลยว่ามีคนมาต่อคิวถ่ายรูปกับเจ้านี่เยอะมาก แต่ก็ยังดีที่มีบางช่วงคนถ่ายรูปกันเสร็จหมดแล้วเลยทำให้มีช่วงคนว่างๆอยู่เหมือนกัน
อ้อ....ออกจากอาคารที่แสดงงานของ Ghibli ที่นี่ยังมีคาเฟ่ขายเครื่องดื่มและอาหารเบาๆเอาไว้บริการสาวกอีกด้วยไม่ใช่แค่นั้น เพราะคาเฟ่นี้ตั้งอยู่บนพื้นที่เปิดและมีบันใดเดินลงมาทางด้านล่างที่จำลองบรรยากศมาจากฉากในการ์ตูน Ghibli ด้วย
ใครที่เป็นแฟนภาพยนตร์แอนิเมชั่นของค่าย Ghibli ในญี่ปุ่นต้องใฝ่ฝันที่อยากจะมาเดินเล่นชมบรรยากาศการผลิตภาพยนตร์หรือกระทบไหล่ตัวละครจากภาพยนตร์ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ใครจะคิดยังไงเราไม่ทราบ แต่สำหรับเรานี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เป็นที่สุดของการรอคอย เพราะตั้งแต่พลาด Ghibli Museum ตั้งแต่มาญี่ปุ่นครั้งแรก ครั้งที่ 2 - 3 - 4 เราก็พลาดหมดท่าเช่นกัน มาประสบความสำเร็จในการจองตั๋วเข้าชมอันแสนยากเย็นเอาครั้งที่ 5 ที่ไปญี่ปุ่นนี่เอง
สำหรับการจองบัตร Ghibli Museum วิธีที่น่าจะสะดวกที่สุดในกรณีที่ยืมจมูกชาวบ้านไม่ได้แล้ว นั่นคือการจองทางอินเตอร์เน็ทผ่าน Lawson Ticket ตาม URL นี้นะครับ https://l-tike.com/st1/ghibli-en/sitetop (ในหน้าที่เปิดขึ้นมาจะบอกวิธีการจองเอาไว้ด้วย ค่อยๆเลื่อนลงไปอ่านทีละบรรทัด) โดยเปิดให้จองผ่านเว็บไซต์ ในวันที่ 10 ของทุกเดือน เวลา "10.00 น. ของญี่ปุ่นเท่านั้น" และต้องทำการจองล่วงหน้า 1 เดือน หมายความว่า ในวันที่ 10 ตอนสิบโมงเช้าของญี่ปุ่นหรือแปดโมงเช้าในเมืองไทย (เพราะเราช้ากว่า 2 ชั่วโมง) "หนึ่งเดือน" ก่อนเดินทางไปญี่ปุ่นก็รีบตาลีตาเหลือกตื่นมาเปิดคอมพ์จองตั๋วได้เลย การจะเข้าไปชม Ghibli Museum เป็นเรื่องที่ไม่ยืดหยุ่นมากๆเพราะต้องกำหนดทริปลงวันที่ให้แน่นอนตายตัว ถ้าพลาดไปไม่ตรงวัน ตั๋วที่จองไปก็ต้องโยนทิ้งอย่างเดียว ตั๋วราคา 1000 เยน ราคาถูกมากแต่ดันหายากฝุดๆ นี่คือความ "โหดในโหดในโหดโหดโหด" ของการหาตั๋ว Ghibli เพราะนอกจากตั๋วจะน้อยมากๆแล้วยังมีคนแย่งกันจองมาจากทั่วโลกด้วย ดังนั้นวางแผนเลือกรอบเข้าชมให้เสร็จยิ่งเร็วยิ่งดีเพราะตั๋วหมดเร็วมาก เฉพาะวันที่ 10 วันเดียวก็ตั๋วก็แทบ sold out ไปทั้งเดือน นี่เตือนแล้วนะ!!!!!
การเดินทางจาก Tokyo ให้นั่งรถไฟสาย Chuo จากสถานี Shinjuku แล้วลงที่สถานี Mitaka ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีมีค่าเดินทาง 220 เยน แล้วต่อ shuttle bus ที่สถานีไปลงที่หน้าพิพิธภัณฑ์ราคาเที่ยวเดียว 210 เยนแต่ถ้าเป็นตั๋วไปกลับจะอยู่ที่ 320 เยน Ghibli Museum เปิดให้เข้าชมเป็นรอบๆ รอบแรก 10 โมงเช้ารอบสุดท้าย 4 โมงเย็น ถึงจะเปิดให้เข้าชมเป็นรอบๆแต่เค้าจะปล่อยให้เราอยู่ในนี้ได้นานเท่าที่ต้องการจนกว่าจะออกมาเองหรือถึงเวลาปิด ดังนั้นรอบสิบโมงเช้าได้เปรียบสุดถ้าอยากอยู่นานๆๆๆ และพิพิธภัณฑ์ Ghibli ปิดทุกวันอังคารจ้ะ