ลองนึกถึงบรรยากาศเดินกินลมชมวิวริมทะเลในที่ๆมีลมทะเลพัดเข้ามาปะทะร่างกาย เบาๆ สบายๆ ในช่วงใบไม้ผลิหรือใบไม้ร่วงในญี่ปุ่น (อย่าได้ริไปหน้าร้อนเชียวนะ ตับจะแตกเอา 5555) ที่อ่าว Aomori เป็นอีกที่หนึ่งที่สามารถเดินเล่นได้นานเป็นชั่วโมงทีเดียว จะมีอะไรให้ดูบ้างลองตามมาดูกัน
เราเริ่มกันที่ A-FACTORY ตลาดที่มีโครงสร้างเหมือนโรงงานหรือโกดังที่ปรับปรุงให้ดูทันสมัย ที่ชั้นหนึ่งจะมีร้านอาหารประเภทฟาสท์ฟู้ดไว้บริการ ขณะที่ชั้นสองมีร้านเค๊กสไตล์ฝรั่งเศสที่น่าสนใจอยู่เหมือนกัน โดยรวมๆที่นี่จำหน่ายอาหารสินค้าอาหาร ขนม ผลิตภัณฑ์แปรรูป ผลไม้พื้นเมืองอย่างแอปเปิ้ลที่ปลูกใน Aomori และที่เด็ดคือที่นี่ยังเป็นโรงเหล้า cider หรือไวน์ซ่าเหมือนน้ำอัดลม (คือจะเรียกว่าแชมเปญมันก็ยังไม่ใช่ไวน์ก็ไม่เชิงมันคล้ายๆกับ Spy ไวน์คูลเล่อร์น่ะ ขอเรียกไวน์แล้วกัน) ที่ทำจากแอปเปิ้ล ที่พิเศษคือสินค้าที่ขายที่นี่เป็นสินค้าปลอดภาษี ถ้าเราเป็นนักท่องเที่ยวละก็ได้เปรียบกว่าคนญี่ปุ่นมาก
เดินออกจาก A-FACTORY ไม่กี่ก้าวจะมีสถาปัตยกรรมรูปร่างประหลาดที่ตั้งประจันหน้ากันอยู่ในทิศตรงกันข้ามนั่นคือ พิพิธภัณฑ์ Nebuta Warasse ที่จัดแสดงโคมไฟที่ใช้ในงานแห่โคมไฟ Nebuta Matsuri ซึ่งจัดขึ้นทุกๆปีตั้งแต่วันที่ 2 - 7 สิงหาคมในช่วงฤดูร้อน ที่นี่เป็นที่รวบรวมบรรยากาศ ประวัติศาสตร์ ประเพณีและวัฒนธรรมการแห่โคมไฟที่สืบทอดกันมากว่า 300 ปี จัดแสดงโคมไฟยักษ์ 5 โคมที่ได้นำไปแห่เมื่อเทศกาลในปีที่ผ่านมาโดยผู้มาเยี่ยมชมสามารถเดินดูรอบๆเพื่อซึมซับศิลปะและความตั้งใจของงานช่างฝีมือญี่ปุ่นที่ได้ประดิษฐ์โคมไฟขึ้นมาเพื่อใช้ในงานประเพณีในแต่ละปี ที่นี่เปิดทุกวันตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 1 ทุ่ม (ปิด6โมงเย็นตั้งแต่พฤศจิกายนถึงเมษายน) และหยุดประจำปีวันที่ 31 ธันวาคมถึง 1 มกราคม และ 9-10 สิงหาคม ส่วนค่าเข้าชมท่านละ 600 เยน
มองออกไปด้านหลังของ A-FACTORY และ Nebuta Warasse นั่นคือ Aomori Bay Bridge สะพานขึงระนาบเดี่ยวที่มีความยาว 1.2 กิโลเมตร สะพาน Aomori มีบันใดอยู่ทางฝั่งท่าเรือทำให้เราเดินวนขึ้นไปดูด้านบนได้ขณะเดียวกันถ้าจะข้ามสะพานก็สามารถเดินลอดใต้สะพานตามบันใดไปยังอีกฝั่งหนึ่งได้ด้วย ตอนขึ้นไปยืนอยู่ด้านบนสะพานกระแสลมจะแรงมาก ยืนอยู่เฉยๆก็เซได้เหมือนกันแต่บอกเลยว่า มุมมองจากข้างบนทำให้เราเห็นเมือง Aomori ได้ไกลและรอบสวยงามมาก มีข้อระวังเล็กน้อยถึงจะเป็นประเทศญี่ปุ่นก็เถอะ (ช่วงนี้ข่าวอาชญากรรมเยอะเหลือเกิน) เนื่องจากทางเดินขึ้นสะพานเป็นโครงสร้างแบบปิด ดูสะอาดแข็งแรงปลอดภัยแต่ค่อนข้างเปลี่ยวเพราะคงไม่ค่อยมีคนเดินขึ้นมาซักเท่าไหร่ ดังนั้นการชวนเพื่อนขึ้นไปเดินซักคนสองคนน่าจะดีกว่าการขึ้นไปด้านบนสะพานคนเดียวนะจ๊ะ
ถัดออกมาที่ท่าเรือ เรายังมีอีกสถานที่นึงที่แนะนำให้คุณลองเดินเข้าไปดูนั่นคือ Hakkoda-Maru Memorial Ship พิพิธภัณฑ์การเดินรถไฟลอยน้ำแห่ง Aomori ไม่ผิดหรอกเพราะเรือลำนี้เกี่ยวกับรถไฟจริงๆ ในสมัยก่อน ก่อนที่ยังไม่มีอุโมงค์ Seikan พารถด่วน Shinkansen ลอดใต้ทะเลจาก Aomori ไปโผล่ที่ Hokkaido ญี่ปุ่นใช้เจ้า Hakkoda-Maru นี่แหละ ขนรถไฟที่วิ่งมาจนสุดทางรักข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังฝั่ง Hokkaido ดูไม่ค่อยจะสะดวกซักเท่าไหร่สำหรับการเดินทางเพราะต้องใช้เวลาข้ามฟากถึงสามชั่วโมงกว่าๆ แต่นี่ก็นับว่าสะดวกสุดแล้วในสมัยนั้น และที่น่าทึ่งคือเรือ Hakkoda-Maru สามารถบรรทุกตู้รถไฟได้ถึง 48 ตู้เชียวนะ ปัจจุบัน Hakkoda-Maru แปลงร่างมาเป็นพิพิธภัณฑ์ลอยน้ำ ที่ยังคงมีรถไฟที่ใช้ข้ามไปข้ามมาระหว่างเกาะจอดแสดงอยู่ภายในเรือด้วย ที่นี่มีค่าเข้าชม 500 เยนและปิดทุกวันจันทร์ครับ
เดินข้ามอ่าวมายังฝั่งตรงข้าม เป็นที่ตั้งของตึก ASPAM หรือศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว Aomori Tourist Information Center แต่ก่อนจะถึงจุดนั้นเราเดินชิลล์ๆไปตามทางเดินที่ทำด้วยไม้เลียบอ่าวที่มีระเบียงยื่นเข้าไปในทะเลเป็นช่วงๆ จะหยุดพักหรือเดินต่อไม่ใช่เรื่องสำคัญเพราะเวลาเป็นของเรา สูดอากาศเข้าไปให้เต็มปอดเพราะอากาศที่นี่ดีจริงๆ เดินไปตามทางเดินซักระยะจะเจอที่ตั้งของงานประติมากรรม Futari งานหล่อโลหะรูปคนคู่ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากตัวละครพี่น้องในนวนิยายเรื่อง Memories (หรือ Omoide ในภาษาญี่ปุ่น) ที่ผูกพันกันด้วยด้ายสีแดง ผลงานของ Osamu Dazai บรมครูแห่งวงการนักเขียนในญี่ปุ่น
และถ้าเดินไปเรื่อย อาจจะโชคดีเจอเรือใหญ่ๆซักลำจอดอยู่กลางทะเลให้เราทึ่งในความสามารถของมนุษยชาติที่ต่อเรือสำราญได้ใหญ่โตขนาดนี้
เราส่งท้ายการเดินรอบอ่าว Aomori ไว้ที่ ASPAM ที่เราได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้ ที่เห็นเป็นตึกรูปสามเหลี่ยมประหลาดๆ จริงๆแล้วได้แรงบันดาลใจมาจากตัวอักษร A อักษรตัวแรกของชื่อเมือง Aomori ในภาษาอังกฤษ ที่ชั้นล่างของศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวแห่งนี้เป็นร้านขายของผลิตภัณฑ์พื้นบ้านของ Aomori ขณะที่ชั้น 13 ของอาคารใช้เป็น Observation Platform ซึ่งสามารถมองวิวเมือง Aomori ได้รอบจากมุมสูง โดยปกติที่นี่จะเปิดตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 4 ทุ่ม แต่ก็มีร้านค้าบางร้านที่เวลาเปิดและเวลาปิดไม่เท่ากัน และชั้น 13 ที่เราขึ้นไปดูวิว ก็จะปิดเร็วซักหน่อย แค่ทุ่มนึงในช่วงหน้าร้อน หรือ 6 โมงเย็นในช่วงหน้าหนาวก็ปิดแล้ว ลืมบอกไปว่าค่าเข้าไปใน Observation Platform ตกคนละ 400 เยนครับ
Aomori อาจเป็นเมืองสงบๆเพราะอยู่ชายขอบสุดของเกาะ Honshu เป็นเมืองที่ไม่สับสนวุ่นวายคนไม่พลุกพล่านเหมือน Tokyo และที่นี่เหมือนจะไม่ค่อยมีอะไรให้ทำเลย แต่จริงๆสำหรับคนที่ไม่ชอบความวุ่นวายในเมืองหลวงอยากหลบมาหาเมืองเงียบๆสงบๆเล็กๆน่ารักๆ เมืองนี้น่าจะเป็นอีกจุดหมายที่น่าเดินทางมาครับ
![]() |
เคลียร์ความเข้าใจผิดของการใช้ JR EAST PASS (Tohoku area)!
Aomori | view 47,108 |
![]() |
ญี่ปุ่นครั้งเดียวไม่พอ ตอน Tanbo Art ศิลปะบนนาข้าวคืออะไร? ทำไมต้องไปดู?
Aomori | view 20,810 |
![]() |
เยี่ยมชมสองพิพิธภัณฑ์ที่ห้ามพลาดใน Aomori
Aomori | view 4,281 |
![]() |
หนาวนี้มาสัมผัสบรรยากาศย้อนยุคกับรถจักรไอน้ำที่มีเตาผิงโบราณสุดคลาสสิคที่ Aomori
Aomori | view 1,479 |
![]() |
ตามล่า Sakura บานหลังสงกรานต์บ้านเรา ตอนที่ 4 (Hirosaki Park)
Aomori | view 1 |