Aomori เป็นเมืองหน้าด่านสุดท้ายของเกาะ Honshu ในภูมิภาค Tohoku คือถ้าทะลุจากนี้ไปก็ถึง Hakodate ใน Hokkaido แล้ว เมืองสงบๆแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นใบไม้เปลี่ยนสีที่ทะเลสาบ Towada หรือซากุระบานสะพรั่งที่สวนแห่งปราสาท Hirosaki แต่ Aomori ไม่ได้มีแค่นั้น แต่ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจอีกด้วย
ที่แรกที่เราจะพาไปคือพิพิธภัณฑ์ Nebuta Warasse ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟ Aomori (ไม่ใช่ Shin-Aomori นะครับ เดี๋ยวจะสับสน) จุดเด่นของ Nebuta Warasse คือสถาปัตยกรรมที่ใช้แผ่นเหล็กสีแดงคล้ายม่านริบบิ้นมาตกแต่งด้านนอกของอาคารทำให้ดูสวยงามแปลกตา ได้รับการออกแบบจากบริษัท Molo บริษัทรับออกแบบสถาปัตยกรรมสัญชาติ Canada
ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงโคมไฟที่ใช้ในงานแห่โคมไฟ Nebuta Matsuri ซึ่งจัดขึ้นทุกๆปีตั้งแต่วันที่ 2 - 7 สิงหาคมในช่วงฤดูร้อน ซึ่งโคมไฟที่นำไปแห่นั่นย่อมไม่ใช่ขนาดกระจิ๊บกระจ้อยแน่ๆ นอกจากขบวนโคมไฟแล้วยังมีขบวนการร่ายรำแบบญี่ปุ่น ขบวนนักดนตรี และที่ขาดไม่ได้นั่นคือกลุ่มนักตีกลอง Taiko ซึ่งประเพณีแห่ของเมือง Aomori นี้จัดว่าเป็นงานประเพณี 1 ใน 3 งานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาค Tohoku เคียงข้างไปกับงานประเพณี Kanto Matsuri ของ Akita และงานประเพณี Tanabata แห่ง Sendai
กลับเข้ามาชมภายในพิพิธภัณฑ์กันบ้าง พิพิธภัณฑ์ Nebuta Warasse เป็นที่รวบรวมบรรยากาศ ประวัติศาสตร์ ประเพณีและวัฒนธรรมการแห่โคมไฟที่สืบทอดกันมากว่า 300 ปี โดยเรื่องราวทั้งหมดจะจะบอกเล่าผ่านภาพวาด ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียงและสื่อผสมอยู่ภายในอุโมงค์ทางเข้าก่อนถึงโถงจัดแสดง
เมื่อเข้ามาถึงภายในโถงจัดแสดง ที่นี่แสดงโคมไฟยักษ์ 5 โคมที่ได้นำไปแห่เมื่อเทศกาลในปีที่ผ่านมาโดยผู้มาเยี่ยมชมสามารถเดินดูรอบๆเพื่อซึมซับศิลปะและความตั้งใจของงานช่างฝีมือญี่ปุ่นเพื่อใช้ในงานประเพณีในแต่ละปี และในวันหยุดสุดสัปดาห์ภายในโถงจัดแสดงใหญ่แห่งนี้จะมีการแสดงการร่ายรำที่ใช้ในประเพณี Nebuta Matsuri ควบคู่ไปกับดนตรีสดๆที่มีทั้งขลุ่ยญี่ปุ่นและกลอง Taiko ด้วย
เมื่อชมโคมไฟเสร็จแล้ว ทางด้านนอกของพิพิธภัณฑ์ยังมีร้านอาหารและร้านจำหน่ายของที่ระลึกให้แก่นักท่องเที่ยวด้วย การเดินทางใช้เวลาแค่ 5 นาทีเดินจากสถานีรถไฟ JR Aomori ก็จะถึงพิพิธภัณฑ์ Nebuta Warasse ที่นี่เปิดทุกวันตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 1 ทุ่ม (ปิด6โมงเย็นตั้งแต่พฤศจิกายนถึงเมษายน) และหยุดประจำปีวันที่ 31 ธันวาคมถึง 1 มกราคม และ 9-10 สิงหาคม ส่วนค่าเข้าชมท่านละ 600 เยน
พิพิธภัณฑ์ที่สองที่ต้องไปคือ พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งเมือง Aomori หรือ Aomori Museum of Art ที่นี่ห้ามพลาดเด็ดขาดถ้าคุณเป็นคนรักศิลปะแบบเดิ้นๆ
Aomori Museum of Art เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะแบบ modern art ที่มีการจัดแสดงงานศิลปะทั้งแบบถาวรและแบบหมุนเวียน สถาปัตกรรมของตัวพิพิธภัณฑ์ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Sannai Maruyama Jomon พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งใกล้ๆที่จัดแสดงสถาปัตยกรรมที่อยู่อาศัยโบราณ โดยบางส่วนของตัวอาคารอยู่ในพื้นดินขณะที่บางส่วนอยู่ในร่องที่เซาะลงไปใต้ดิน
งานที่โดดเด่นของที่นี่เป็นภาพวาดขนาดยักษ์สามชิ้นของ Marc Chagall ซึ่งจริงๆเคยใช้เป็นฉากของการแสดงบัลเล่ท์ที่ งานอีกชิ้นคือภาพพิมพ์จากแม่พิมพ์ไม้ของ Munakata Shiko และสุดท้ายที่เจ๋งฝุดๆคือเจ้าหมาหาชามข้าว Aomori Ken ประติมากรรม pop art ที่มีความสูงถึง 8.5 เมตรของ Nara Yoshitomo ส่วนตัวแล้วชอบงานชิ้นนี้มากที่สุด
การเดินทาง : ให้ขึ้นรถบัสจากสถานี JR Aomori ป้ายหมายเลข 6 ขึ้นรถที่ไป Sannai-Maruyama Iseki แล้วลงที่ป้าย Kenritu-Bijutsukan Mae ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีค่ารถคนละ 280 เยน พิพิธภัณฑ์ เปิดตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น (ปิด 5 โมงเย็นตั้งแต่ตุลาคมถึงพฤษภาคม) ปิดทำการทุกวันจันทร์ที่ 2 และ 4 ของเดือนและวันหยุดนักขัตฤกษ์อื่นๆ ค่าเข้าชมงานศิลปะที่จัดแสดงถาวรอยู่ที่ 510 เยน ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพด้านใน แต่ถ่ายภาพภายนอกอาคารได้ ไม่งั้นเราคงอดรูป Aomori Ken และที่พิพิธภัณฑ์มี locker สำหรับฝากกระเป๋าข้าวของของเราไม่ต้องแบกให้หนักตอนเดินดูงานด้วย อันนี้ดีงามจริงๆ
![]() |
เคลียร์ความเข้าใจผิดของการใช้ JR EAST PASS (Tohoku area)!
Aomori | view 42,809 |
![]() |
ญี่ปุ่นครั้งเดียวไม่พอ ตอน Tanbo Art ศิลปะบนนาข้าวคืออะไร? ทำไมต้องไปดู?
Aomori | view 18,215 |
![]() |
ชวนเดินเล่นรอบอ่าว Aomori แบบชิลล์ๆ คูลล์ๆ กัน
Aomori | view 1,723 |
![]() |
หนาวนี้มาสัมผัสบรรยากาศย้อนยุคกับรถจักรไอน้ำที่มีเตาผิงโบราณสุดคลาสสิคที่ Aomori
Aomori | view 1,479 |
![]() |
ตามล่า Sakura บานหลังสงกรานต์บ้านเรา ตอนที่ 4 (Hirosaki Park)
Aomori | view 1 |